วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554

ประโยชน์ของถั่วเขียว

ถั่วเขียว คุณค่าสีเขียวจากธรรมชาติ

“ใหญ่ น้ำ ไม่งอก”

คำพูดข้างบนนี้ เชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านคงเคยได้ยินมาบ้าง และอาจจำได้ว่าเป็นคำพูดที่ใช้กันในร้านก๋วยเตี๋ยว ระหว่างคนดินโต๊ะกับผู้ปรุง นับว่าเป็นภาษาเฉพาะของร้านก๋วยเตี๋ยวที่เกิดขึ้นเพื่อประหยัดคำพูดและเวลา แต่สามารถสื่อความหมายได้ครบถ้วน หากจะแปลก็คงได้ความว่า “ลูกค้าสั่งก๋วยเตี๋ยวน้ำเส้นใหญ่ไม่ใส่ถั่วงอก” น่าสังเกตว่าหากลูกค้าต้องการถั่วงอกด้วยก็เพียงแต่สั่งว่า “ใหญ่น้ำ” อย่างเดียว เพราะปกติก๋วยเตี๋ยวจะใส่ถั่วงอกอยู่แล้ว ลูกค้าส่วนน้อยเท่านั้นที่ไม่ต้องการถั่วงอก จึงอาจกล่าวได้ว่า ถั่วงอกเป็นผักที่คู่กับก๋วยเตี๋ยวของคนไทยมาแต่เดิม ก่อนจะมีผักอื่นมาเพิ่มเติม เช่น ผักบุ้ง หรือตำลึง เป็นต้น
เมื่อเอ่ยคำว่าถั่วงอก คนไทยก็จะนึกถึงเฉพาะถั่วงอกที่มาจากเมล็ดถั่วเขียวเท่านั้น ทั้งๆ ที่แต่เดิมนั้นหมายถึง ถั่วงอกจากเมล็ดถั่วทุกชนิด ดังเช่นในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ของหมอปรัดเล พ.ศ.๒๔๑๖ อธิบายว่า “ถั่วงอก : เป็นชื่อเมล็ดถั่วทั้งปวงที่งอกนั้น” ต่อมาความหมายแคบลงกลายเป็นหมายถึง ถั่วงอกที่เพาะมาจากเมล็ดถั่วเขียวและถั่วเหลืองเท่านั้น ดังปรากฏคำอธิบายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๒๕ ว่า “ถั่วงอกถั่วเพาะ : เมล็ดถั่วเขียวหรือเมล็ดถั่วเหลืองที่เอามาเพาะให้งอก แล้วใช้เป็นอาหารต่างผัก” แม้ในพจนานุกรมจะรวมถั่วเหลืองเอาไว้ด้วย แต่คนไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบันกลับไม่ยอมรับถั่วเหลืองว่าเป็นถั่วงอก โดยเรียกชื่อเฉพาะว่า “ถั่วงอกหัวโต” ส่วนคำว่าถั่วงอกใช้เฉพาะกับถั่วงอกที่เพาะมาจากเมล็ดถั่วเขียวเท่านั้น
น่าแปลกที่คนไทยถือว่าถั่วงอกเป็นผัก และถั่วงอกมาจากถั่วเขียว เมื่อนึกถึงถั่วเขียวกลับไม่นึกถึงผัก แต่นึกถึงอาหารชนิดต่างๆ โดยเฉพาะขนมไทยๆ

รู้จักถั่วเขียว ถั่วสารพัดประโยชน์
ถั่วเขียวเป็นพืชในวงศ์ Fabaceae เช่นเดียวกับถั่วเหลือง ถั่วแปบ ถั่วพู ฯลฯ ซึ่งเคยเขียนถึงไปแล้วนั่นเอง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Phaseolus aureus L. (ชื่อพ้อง Vigna radiate Roxb.) ภาษาอังกฤษเรียก Mungo, Mung bean หรือ bean gram ภาษาไทยเรียก ถั่วเขียวหรือถั่วทอง
ถั่วเขียวเป็นพืชขนาดเล็ก ลำต้นตั้งตรง สูงประมาณ ๔๐ เซนติเมตร มีขนตามลำต้นกิ่งก้านและใบ เป็นพืชล้มลุก เมื่อออกดอกติดฝักแก่แล้วจะแห้งตายไปเองเช่นเดียวกับถั่วเหลือง มีใบย่อย ๓ ใบอยู่บนก้านเดียวกันเช่นเดียวกับถั่วเหลือง ถั่วแปบ ฯลฯ ดอกมีขนาดเล็ก รูปทรงคล้ายกับถั่วชนิดอื่นๆ ในวงศ์เดียวกัน กลีบดอกสีเหลือง ฝักรูปทรงกระบอกปลายแหลมยาว ๔-๑๐ เซนติเมตร มีเมล็ดอยู่ภายในฝัก ๔-๑๒ เมล็ด เมล็ดค่อนข้างกลม ผิวของเมล็ดมีสีต่างๆ กัน คือ สีเขียวเรียกว่า ถั่วเขียว สีเหลืองเรียกว่าถั่วทอง สีดำเรียกกว่า ถั่วเขียวผิวดำ ปกติผิวของเมล็ดถั่วเขียวจะไม่เป็นมัน แต่บางสายพันธุ์มีเมล็ดผิวเป็นมัน เรียกว่า ถั่วเขียวผิวมัน ฝักของถั่วเขียวเมื่อยังอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่จัดเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือสีดำขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
ถั่วเขียวมีถิ่นกำเนิดดังเดิมอยู่บริเวณประเทศอินเดีย และคงเข้ามาบริเวณประเทศไทยนานนับพันปีแล้ว เพราะคนไทยในอดีตได้นำถั่วเขียวมาใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ มากมายโดยเฉพาะในตำรับขนมไทยดั้งเดิม


ประโยชน์ด้านอื่นๆ ของถั่วเขียว
   ต้นถั่วเขียวที่เก็บฝักแล้วใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ดี มีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าหญ้าทั่วไป เพราะเป็นพืชตระกูลถั่ว ถั่วเขียวมีปมที่รากซึ่งเปลี่ยนไนโตรเจนในอากาศเป็นปุ๋ยไนเตรดให้แก่ดินและต้นถั่วเขียวเอาไปใช้ได้ ถั่วเขียวจึงเป็นพืชบำรุงดินใช้เป็นปุ๋ยพืชสดได้ดี ในอดีตชาวนาภากลางปลูกถั่วเขียวในนาข้าวก่อนฤดูปลูกข้าว หลังจากเก็บเกี่ยวถั่วเขียวแล้วจึงปลูกข้าวต่อ วิธีนี้ชาวนาจะได้ผลผลิตถั่วเขียวเพิ่มเติมนั่นเอง ถั่วเขียวมีคุณสมบัติพิเศษคือ ใช้น้ำน้อยจึงทนแล้งได้ดี เมล็ดงอกและเติบโตเร็ว ใบกว้างจึงช่วยควบคุมวัชพืชได้ดี จากคุณสมบัติข้อนี้จึงมีชาวนาไทยบางคนนำถั่วเขียวว่าใช้ในแปลงนาระบบเกษตรกรรมธรรมชาติที่ไม่ไถพรวน ไม่กำจัดวัชพืช ไม่ใส่ปุ๋ย (ทุกชนิด) และไม่กำจัดแมลง วิธีการ คือ ว่านเมล็ดข้าวกับเมล็ดถั่วเขียวไปพร้อมกันในแปลงนาเดียวกัน ถั่วเขียวจะช่วยบำรุงดินและป้องกันวัชพืช เมื่อถั่วเขียวโตเต็มที่แล้ว ชาวนาจะเก็บกักน้ำให้ท่วมผิวดิน ถั่วเขียวก็จะเน่าตายกลายเป็นปุ๋ยธรรมชาติ ข้าวจะเติบโตสมบูรณ์ต่อไป
ถั่วเขียวจึงนับว่าเป็นถั่วสารพัดประโยชน์ของชาวไทยชนิดหนึ่งที่ราคาไม่แพงหาง่ายคุณค่าสูง สมควรที่ชาวไทยจะช่วยกันนำมาใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า ถ้าเป็นชาวเมืองหรืออาชีพอื่นที่ไม่ใช่เกษตรกรรมยั่งยืนประเภทต่างๆ ที่รักษาสภาพแวดล้อมทั้งยังไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยราคาแพงจากต่างประเทศ เช่น ปุ๋ยเคมีหรือยากำจัดศัตรูพืช ซึ่งมีราคาแพงและเป็นพิษภัยต่อคุณภาพชีวิตของมนุษย์อีกด้วย

อาหาร
   ส่วนของถั่วเขียวที่นำมาใช้ประโยชน์ด้านอาหาร ก็คือ เมล็ด โดยเฉพาะเมล็ดแก่ เช่น เมื่อใช้เป็นผักก็นำมาเพาะให้งอกเป็นถั่วงอกเสียก่อน การเพาะถั่วงอกนั้นเป็นศิลปะอย่างหนึ่งเช่นเดียวกับการหุงข้าว ซึ่งแม้จะทำไม่ยาก แต่ทำได้ดีได้ไม่ง่ายเลย ดังนั้น การเพาะถั่วงอกขายจึงเป็นอาชีพอย่างหนึ่งตลอดมาจนปัจจุบัน และถั่วงอกก็มีขายในตลาดสดควบคู่กับผักชนิดอื่นๆ ตลอดมาเช่นเดียวกัน ถั่วงอกใช้ปรุงอาหารได้หลากหลายชนิด ตั้งแต่ใช้เป็นผักดิบกินกับขนมจีนน้ำยา หรือกับผัดไทย เป็นต้น อาจจะนำไปทำให้สุกเสียก่อนหรือนำไปดองแล้วใช้เป็นผักจิ้มกับน้ำพริกกะปิ หรือปลาร้าหลน เป็นต้น
นอกจากนี้ถั่วงอกยังนำไปทำอาหารประเภทผัดน้ำมัน (ถั่วงอกผัดไข่ ผัดถั่วงอกเลือดหมู ฯลฯ) ใช้แกงต่างๆ (เช่น แกงจืด แกงส้ม ฯลฯ) หรือยำก็ได้ ถั่วงอกเป็นผักที่มีคุณค่าทางอาหารสูงโดยเฉพาะบางด้านที่ไม่มีในถั่วเขียว เช่นเมล็ดถั่วเขียวไม่มีวิตามินซี แต่ถั่วงอกมีวิตามินซีสูง
เมล็ดถั่วเขียวนำไปบดเป็นแป้ง ถั่วเขียวใช้ปรุงอาหารและทำขนมได้หลายชนิด เช่น ทำวุ้นเส้น ทำข้าวเกรียบ ขนมครองแครง ซ่าหริ่ม ฯลฯ ส่วนเมล็ดถั่วเขียวก็นำไปทำขนมไทยดังเดิมได้มากมาย เช่น ถั่วเขียวต้ม น้ำตาลที่ทำง่ายที่สุด ฝักถั่วเขียวที่เกือบแก่ (เมล็ดโตเต็มที่แต่ยังอ่อน) ใช้ต้มใส่เกลือกินเมล็ดเช่นเดียวกับถั่วเหลือง (ถั่วแระ) หรือขนมหันตรา ขนมลูกชุบ ขนมเทียนแก้ว ขนมเม็ดขนุน ขนมเปียก ขนมกง ฯลฯ เป็นต้น จะเห็นว่าขนมเหล่านี้เป็นขนมดั้งเดิมของไทยแสดงถึงความผูกพันใกล้ชิดระหว่างถั่วเขียวกับคนไทยว่ามีมายาวนานและลึกซึ้งกว่าถั่วชนิดอื่นๆ

    สมุนไพร
   ถั่วเขียวใช้รักษาโรคบางชนิดได้ด้วย ในตำราสรรพคุณสมุนไพร ระบุว่า เมล็ดถั่วเขียว : รสมัน แก้ขัดข้อ บำรุงร่างกาย แก้ร้อนใน บำรุงกำลัง นอกจากนี้ตำราบางฉบับยังบอกสรรพคุณด้านอื่น เช่น มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ แก้เหน็บชา ใช้ตำพอกแผล เมล็ดต้มกับเกลือใช้อมแก้เลือดออกตามไรฟัน เป็นต้น

วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

" ลดโลกร้อนด้วยมือเรา"

" กีวี...จุ๊บุๆ ^_^..."

" ประโยชน์ของกีวีจร๊า...." ^_^

   ประโยชน์ของกีวี
กีวี (Kiwi) 
     กีวี ผลไม้หน้าตาประหลาด สีน้ำตาล มีขน มองอย่างไรก็ไม่เห็นจะน่ากินตรงไหนกีวีมีถิ่นเกิดอยู่ที่เมืองจีน แต่เป็นที่นิยมที่นิวซีแลนด์  กีวี่เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์มากเลยทีเดียว สำหรับคุณผู้หญิงหากรู้
ประโยชน์ของกีวี่แล้วอาจจะยกให้กีวี่เป็นผลไม้ โปรดเลยก็ได้ เนื่องจากกีวี่ มีวิตามิน C สูง ช่วยลบเลือนจุดด่างดำ ทำให้ฝ้าจางลง บำรุงผิวให้นุ่ม ชุ่มชื่น ลบริ้วลอยต่างๆ และที่สำคัญกีวี่ ยังช่วยลดความเครียดได้อีกนะค่ะ

วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554

"น้ำผึ้ง...."

"น้ำผึ้ง...."

ประโยชน์ของ "น้ำผึ้ง"
 
    น้ำผึ้งจัดเป็นอาหารที่มนุษย์รู้จักมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีสรรพคุณทางยาและคุณค่ามาก แม้แต่ในสมัยพุทธกาลมีการถวายข้าวมธุปายาส ซึ่งมีการผสมด้วยน้ำผึ้ง ทำให้พระวรกายของพระพุทธเจ้ากลับมาสมบูรณ์แข็งแรง นอกจากจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว น้ำผึ้งยังมีประโยชน์กับความสวยความงามด้วยค่ะ ก่อนที่เราจะมาติดตามนานาประโยชน์ของน้ำผึ้ง เราควรจะมาทำความรู้จักกับน้ำผึ้งก่อนค่ะ
น้ำผึ้งเกิดจากการที่ผึ้งนำน้ำจากเกสรดอกไม้ที่เป็นน้ำหวานจากธรรมชาติมาแล้วใช้กรด Enzyme ในห้องผึ้งเปลี่ยนแปลงมาเป็นน้ำผึ้ง ซึ่งน้ำผึ้งที่ได้มานั้นย่อมขึ้นอยู่กับวัตถุดิบหรือชนิดของเกสรดอกไม้ที่ผึ้งได้ไป รวมถึงแหล่งของพืชและพื้นดินนั้น ๆ ที่ผึ้งเจริญเติบโตอยู่ เพราะฉะนั้นน้ำผึ้งที่ได้จากรังผึ้งในป่าใหญ่ จึงมีความสมบูรณ์และมีแร่ธาตุอาหารที่แตกต่างจากน้ำผึ้งเลี้ยง ส่วนน้ำผึ้งเลี้ยงจะมีการเติมน้ำหวานจากน้ำตาลและเกสรเทียมซึ่งทำให้คุณค่าลดน้อยลงไป

มาดูถึงคุณประโยชน์ของน้ำผึ้งกันบ้าง จะพบว่าในน้ำผึ้งมีสารเอนติออกซิเดนท์ เช่นเดียวกับที่มีในผักใบเขียวและยังมีวิตามินบี ซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม เกลือแร่ และกรดอะมิโน ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพและช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ แร่ธาตุที่กล่าวมาล้วนมีความจำเป็นต่อร่างกายที่จะเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ บำรุงโลหิต 
วิธีสังเกตว่าเป็นน้ำผึ้งแท้จากธรรมชาติ    ทำได้โดยการนำน้ำผึ้งใส่ไว้ในขวด ตั้งทิ้งไว้สักพัก
จะพบว่ามีเกสรดอกไม้ลอยอยู่ด้านบน ซึ่งเป็นลักษณะตามธรรมชาติของน้ำผึ้งป่านั่นเอง

"แอ๊ปเปิ้ล....."

"แอ๊ปเปิ้ล....."

กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล ร่างกายแข็งแรง

    แอปเปิ้ลให้สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและวิตามินซีเป็นหลัก ซึ่งปริมาณวิตามินซีจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว และความสด เนื้อแอปเปิ้ล 100 กรัม มีวิตามินซีประมาณ 6 มิลลิกรัม และให้พลังงานราว 59 แคลอรี ไม่ทำให้อ้วน แต่แอปเปิ้ลก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์ชนิดอื่นทดแทน แบบที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าผลไม้อื่นแต่อย่างใด

    พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจคือ แอปเปิ้ลจะให้พลังงานค่อนข้างต่ำและค่อยเป็นค่อยไป เพราะแหล่งพลังงานของแอปเปิ้ลคือ น้ำตาลฟรักโทสซึ่งเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ในร่างกายช่วยให้ไม่รู้สึกหิว อิ่มนาน ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่สูงเร็วเหมือนกินขนมหวาน จึงเหมาะกับคนไข้เบาหวานด้วยเช่นกัน

    เปลือกและเนื้อของแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารที่ชื่อว่า "เพคติน" ที่มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก ช่วยเพิ่มกากในทางเดินอาหาร ทำให้อวัยวะในทางเดินอาหารมีการทำงานเป็นปกติ เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และยังช่วยจับคอเลสเตอรอลไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันโรคคอเลสเตอรอลในเลือดสูง โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง

    นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารอาหารที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ บี 1 บี 2 บี 6 ไบโอติน กรดโฟลิก กรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก ทองแดง แมกกานีส แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน และยังมีกรดอินทรีย์ 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน สารอาหารเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะวิตามินซี และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในแอปเปิ้ล จะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ที่รับประทานเป็นประจำ

   แอปเปิ้ลเขียว หรือ แอปเปิ้ลแดง ที่มีประโยชน์มากกว่ากัน

     เมื่อวิเคราะห์จากคุณค่าสารอาหารต่าง ๆ เปรียบเทียบระหว่างแอปเปิ้ลเขียวและแอปเปิ้ลแดง พบว่าไม่มีความแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แอปเปิ้ลแดงมีเหนือกว่าเล็กน้อยคือ ปริมาณของสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์นั่นเอง

ดื่มน้ำแอปเปิ้ล ก็ได้ประโยชน์เท่ากินทั้งลูก?

    จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะพบว่าประโยชน์ของแอปเปิ้ลมาจากองค์ประกอบ 3 ตัวด้วยกันคือ จากเส้นใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากบริเวณเปลือก และจากน้ำตาลฟรักโทสที่มีมากในเนื้อแอปเปิ้ล ดังนั้นหากต้องการดื่มน้ำแอปเปิ้ล ควรเลือกวิธีการปั่นทั้งผล โดยไม่ต้องปอกเปลือก เพราะหากใช้วิธีคั้นน้ำ จะทำให้ได้เฉพาะน้ำตาลและสารต้านอนุมูลอิสระอีกเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้อ้วนได้มากกว่าเดิม และไม่ได้รับประโยชน์ทั้งหมดจากแอปเปิ้ลอย่างครบถ้วน

กินแอปเปิ้ลอย่างไรให้ได้ประโยชน์

    ในแง่โภชนาการ แอปเปิ้ลไม่ใช่ผลไม้ที่มีวิตามินหรือแร่ธาตุในปริมาณสูงมากนัก เมื่อเทียบกับกล้วย ฝรั่งหรือส้ม แต่หากทานแอปเปิ้ลวันละ 2-4 ลูก โดยไม่ปอกเปลือกก็จะได้รับเส้นใยอาหารและสารอาหารต่าง ๆ ในปริมาณที่พอเหมาะ

    ในปัจจุบันมีการกล่าวอ้างสรรพคุณของแอปเปิ้ลมากมาย เช่น บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่และฆ่าเชื้อไวรัส ซึ่งหากต้องการจะรับประทานแอปเปิ้ลสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมน้ำหนักแล้ว ก็ควรต้องทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และผักผลไม้อื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อป้องกันการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย

"วันครู 16 มกราคมจ๊า"

ความหมาย
ครู หมายถึง ผู้อบรมสั่งสอน; ผู้ถ่ายทอดความรู้ ผู้สร้างสรรค์ภูมิปัญญา และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของสังคมและประเทศชาติ


ความเป็นมา
วันครูได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐ สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภาเป็นนิติบุคคลให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษา ควบคุมจรรยาและวินัยของครู รักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครูและครอบครัวได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู ด้วยเหตุนี้ในทุก ๆ ปี คุรุสภาจะจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และซักถามปัญหาข้อข้องใจต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบข้อสงสัยสถานที่ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุมสามัคคยาจารย์ หอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในระยะหลังใช้หอประชุมคุรุสภา ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ ได้กล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า“ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณเป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าวันครูควรมีสักวันหนึ่งสำหรับให้บันดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ได้แสดงความเคารพสักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสำหรับคนทั่วไปถ้าถึงวันตรุษ วันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง” จากแนวความคิดนี้ กอปรกับความคิดเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่น ๆ ที่ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึกถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมาก ในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติเห็นควรให้มีวันครูเพื่อเสนอคณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครูและเพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างครูกันประชาชน ในที่สุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๔๙๙ ให้วันที่ ๑๖ มกราคมของทุกปีเป็น “วันครู” โดยเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๘ เป็นวันครูและให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าวได้

วันศุกร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2554

"ประโยชน์ของสตรอเบอรี่จร๊า"^_^"

"ประโยชน์ของสตรอเบอรี่จร๊า"^_^"

ใครวางแผนไปเที่ยวเชียงใหม่ยกมือขึ้น! อย่าลืมซื้อสตรอวเบอร์รี่มาฝากกันบ้างนะจ๊ะ เพราะเขาบอกว่าเจ้าผลไม้น่าเอ็นดูชนิดนี้มีประโยชน์มากมายเลยล่ะ

1.ดูแลสายตา

          ปัญหาเกี่ยวกับดวงตาส่วนใหญ่จะเกิดจากอนุมูลอิสระ และการขาดสารอาหารบางชนิด และเมื่อเราอายุมากขึ้น ดวงตาของเรายิ่งถูกทำร้ายได้ง่าย ซ้ำร้ายความแก่ชราจะทำให้กล้ามเนื้อดวงตาเสื่อมสภาพ แต่สตรอวเบอร์รี่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างวิตามินซี ฟลาโวนอยด์ กรดฟีโนลิก และกรดเอลลาจิก ซึ่งช่วยชะลอกระบวนการดังกล่าว แถมยังมีโพแทสเซียมซึ่งช่วยปรับความดันในตาให้เป็นปกติอีกด้วย
2.ป้องกันโรคข้ออักเสบและโรคเกาต์

          เมื่อกล้ามเนื้อถูกใช้งานนาน ๆ เข้า กล้ามเนื้อของเราก็มีแต่จะถดถอยของเหลว บริเวณข้อต่อกระดูก็จะเหือดแห้งลงไปเรื่อย ๆ และร่างกายก็สะสมสารพิษอย่างกรดยูริกเอาไว้มากขึ้น ๆ ทำให้โรคข้ออักเสบและโรคเกาต์ถามหา แต่อย่าห่วงไป เพราะเราสามารถขับไล่โรคทั้งสองได้ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และสรรพคุณล้างพิษของสตรอวเบอร์รี่ค่ะ
3.กำราบโรคมะเร็ง

          กินสตรอวเบอร์รี่ทุกวันสิคะเซลล์มะเร็ง และเนื้องอกต้องชิดซ้ายหลีกทางให้แก่สารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซี โฟเลต และแอนโธไชยานินส์ ที่มีอยู่มากมายในสตรอวเบอร์รี่ค่ะ
4.ส่งเสริมการทำงานของสมอง

          ยิ่งแก่ยิ่งขี้หลงขี้ลืม เพราะเนื้อเยื่อและเส้นประสาทในสมองเสื่อมสภาพจากอนุมูลอิสระตัวร้าย ซึ่งสตรอวเบอร์รี่ช่วยได้ เพราะมีวิตามินซี และไฟโตนิวเทรียนต์ ที่ทำให้อนุมูลอิสระหมดฤทธิ์ และคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ระบบประสาท แถมยังมีไอโอดีนที่ทำให้สมองและระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
5.ลดความดันโลหิต

          หากโซเดียมเป็นตัวการทำให้เกิดความดันโลหิตสูง สตรอวเบอร์รี่ก็มีโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยปรับความดันให้เป็นปกติค่ะ
6.ปราบโรคหัวใจ

          ใยอาหาร โฟเลต และสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย แถมวิตามินบีบางชนิดที่พบได้ในสตรอวเบอร์รี่ จะเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงอีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554

อยากหน้าใส...กริ๊งฟังทางนี้

"น้ำมะนาว รักษาสิวด้วย "วิธีธรรมชาติ"

ใช้น้ำมะนาวเพื่อบรรเทา / รักษาสิว เป็นวิธีธรรมชาติในการรักษาสิวที่ง่ายและปลอดภัย
สามารถใช้ได้ทั้งทาบนผิวและดื่ม ทั้งสองวิธีจะช่วยลดการเกิดสิวและรอยแผลเป็นทั้งภายนอกและภายใน ได้มีทดลองใช้น้ำมะนาวทั้งสองวิธีแล้ว (ทาโดยตรงบนผิวหน้า และดื่ม) และพบว่าภายใน 3 สัปดาห์ สิวก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และเชื่อว่าการผสมน้ำมะนาวกับผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน จะช่วยให้ผลเร็วขึ้น

ทาน้ำมะนาวโดยตรงบนสิว
    น้ำมะนาวมีกรดผลไม้ AHA หรือ Alpha Hydroxy Acids ทำงานโดยการลอกเอาเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก ช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้แก่ผิว และช่วยให้เซลล์ผิวใหม่ที่อยู่ด้านล่างได้ผลัดขึ้นมาแทนที่เซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว ยังช่วยชำระรูขุมขนและช่วยให้ผิวรู้สึกสดชื่น สดใสด้วย





 ทำแล้วหน้าจะใสกริ๊งเหมือนดาราเกาหลีเลยจร๊า    มั่ยเชื่ออย่าลบหลู่นะ  อิอิ

วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554

"คำขวัญวันเด็ก" ^_^

    "รอบรู้ รอบคิด  มีจิตสาธารณะ""ขอให้เป็นเด็กดีของพ่อแม่นะจ๊ะ  ไม่ดื้อ  ไม่ซน"